Share ประสบการณ์ การได้มาทำงานสาย UX/UI แบบงงๆ(?)

Patcharamon Srphpp
3 min readJun 3, 2022

--

ขอเกริ่นและบอกไว้ก่อนว่า เป็นประสบการณ์ส่วนตัวของเราเอง และ เหมือนเป็นการ reflect ตัวเองด้วยตั้งแต่เริ่มเข้าสู่วัยทำงานจนถึงตอนนี้ (2017–2022)

เหตุผลที่เราอยากจะเขียนบทความนี้เป็นเพราะว่าเราอยากทั้งแชร์ประสบการณ์ และอยากได้คำแนะนำจากผู้อ่านทุกๆคนที่ได้ผ่านมาเจอบทความนี้ เผื่อว่าใครอาจจะรู้สึกคล้ายๆกัน เคยผ่านอะไรแบบนี้มาเหมือนกัน หรือว่าอาจจะมีเป้าหมายคล้ายๆกับเรา ก็สามารถพูดคุยกันได้นะคะ แต่สิ่งที่เราเขียนมันอาจจะเป็นการ reflect ตัวเองเป็นส่วนใหญ่ ต้องขอโทษผู้อ่านทุกท่าน ถ้าเข้ามาอ่านแล้วไม่ค่อยได้อะไร แต่ได้กำลังใจแน่ๆ (ไหมนะ)😅

ย้อนไปมหาลัย

ตอนมหาลัย เราเรียนคณะชื่อ Media Technology เอาจริงๆเราลืมความรู้มหาลัยไปหมดแล้วแหละ คณะที่เราเรียนจะสอนเกี่ยวกับ มีเดีย + เทคโนโลยี แล้วจะแยกเป็น 3 เอกวิชา เราเลือกเรียนเอกพัฒนาเกม ตอนเรียนสร้างเกมจะเป็นการ coding เกมบน Unity ทั้งหมดเลย สมัยนั้นใช้ C# จำได้ว่าตอนปีสี่เจอ Python หนักหนามาก5555
ส่วนที่เป็น Graphic ก็จะไปทางสร้าง character เพื่อนำมาทำเกม หรือสร้าง element ที่จะเอามาใช้ในเกม

เริ่มหางานหลังเรียนจบ

ตอนเราใกล้จะจบ เราคิดหนักมากว่าจะหางานได้ไหม จะไปทำอะไรดี จากใจเลยเราเป็นคนไม่ชอบ code ตอนที่เรียนก็คือเอาตัวรอดให้ผ่าน รวมถึงเพื่อนๆในภาคก็ช่วยเหลือกัน จนเรียนจบมาได้ 😂 สุดท้ายแล้วพอเราต้องเลือกงานที่จะทำ เราเลยอยากเลือกสิ่งที่ตัวเองชอบ เพราะคงต้องอยู่กับมันไปอีกนาน เราเลยคิดอยากจะเป็นนักเขียน ซึ่งตอนช่วงเราจบใหม่ๆ facebook page ที่เป็นเกี่ยวกับ content กำลังมาเลย อย่างเช่น The Matter , The Momentum , The Standard แต่เราเป็นเด็กจบใหม่เวลากดเข้าไปดู Job description เขาก็จะเขียนว่าอยากได้คนมีประสบการณ์ 5555 เราก็ยังฝืนยื่นไป แต่ก็ไม่เคยโดนเรียกหรือตอบเมลกลับมา เราเลยลองยื่นพอร์ทที่เป็นงานวาดรูป งานกราฟิก (กากๆ) ของเราไปแทน เพราะนอกจากการเขียนแล้ว เราก็ชอบวาดรูปเหมือนกัน แต่ไม่ได้มีพื้นฐานแน่นแบบสายอาร์ต เราวาดตามสิ่งที่เราชอบแค่นั้นเลย สุดท้ายได้ไปสัมภาษณ์ทั้งหมด 3 ที่ และผ่าน 2 ที่ ที่แรกเป็นวาดภาพประกอบ content แต่อยู่ไกลจากบ้าน ส่วนอีกที่เขาบอกว่าเป็น software house ตอนนั้นคำนี้ใหม่กับเรามาก (ทั้งๆที่เรียนจบสายเทคโนโลยีมา -_-) ก็เลยได้เข้าไปทำงานที่นั่น เหตุผลที่เขาเลือกเราเพราะเขาบอกว่าเรามี taste เรื่องการใช้สี และคิดว่าเราดูเรียนรู้ได้

เข้าไปทำงานวันแรก หัวหน้าพูดถึง UX/UI และบอกให้เราหาอ่านบทความเอา ต้องขอบคุณหัวหน้าคนแรกที่ทำให้เรารู้จัก Medium ที่แห่งนี้ 🤓 เราก็เริ่มอ่าน แล้วก็ทำงานไปเรื่อยๆ Tool แรกที่เราใช้คือ Adobe XD และเราเป็น Designer คนเดียวในบริษัท

สิ่งที่ได้จากบริษัทที่แรก

  • การฟัง : เพราะต้องมีคุยกับลูกค้า บริษัทที่ทำจะเป็นเหมือน outsource ที่รับงานเป็น project มา และงานส่วนใหญ่จะเป็นเกี่ยวกับ Health , VR/AR , ระบบหลังบ้านต่างๆ งานที่เราได้แตะเลยจะเป็นแอปค่อนข้างน้อยมากกก ส่วนใหญ่จะเป็นเว็บไซต์ ต้องไปคุยกับลูกค้าพร้อมกับหัวหน้า แล้วก็จดๆ requirement มาเพื่อเริ่มทำ design
  • การสื่อสาร : เราเคยโดนบอกว่าเราพูดไม่มีเนื้อ เหมือนพูดอธิบายยืดเยื้อแต่ทำให้คนอื่นเข้าใจไม่ได้ (พูดไม่รู้เรื่องนั่นแหละ) จริงๆตอนนี้เราก็ยังคิดว่าเราพูดไม่ค่อยรู้เรื่อง แต่ต้องขอบคุณหัวหน้าอีกเหมือนกันที่ทำให้เราสื่อสารได้ดีขึ้น มีอะไรต้องการจะบอก 1,2,3,4 พูดให้กระชับให้ตรงจุดไปเลย
  • การประเมินระยะเวลา : หัวหน้าบอกเราว่า เราควรจะประเมินให้ได้ว่าเราใช้ effort เท่าไหร่ในการทำงานๆนึงเพราะถ้าเราไม่ประเมินจะทำให้คนอื่นเสียเวลาไปด้วย
  • การทำงาน กับ role อื่นๆในบริษัท
  • รู้จักคำว่า Stand up meeting คือที่บริษัทตอนเช้าจะมีให้มายืนเป็นวง แล้วบอกว่าเมื่อวานทำอะไร วันนี้จะทำอะไร ติดปัญหาอะไรไหม พูดคนละไม่เกิน 5 นาที (แต่นานทุกที 5555)
  • ทุกวันจันทร์จะมีการมาคุยว่าสัปดาห์นี้ทำอะไรบ้าง มีใช้ Trello ในการ track งาน

จริงๆ เราท้อตั้งแต่ทำงานอยู่ที่นี่ได้เดือนเดียว รู้สึกว่ามันไม่ใช่ เราทำไม่ได้ เคยคิดอยากจะลาออกไปสมัครเป็นคนเฝ้าร้านหนังสือ แต่เงินเดือนไม่พอยาไส้จริงๆ 555555

แต่เราก็อยู่ที่นี่สามปีเต็มๆ ตอนใกล้จะลาออก รู้สึกหมดไฟมากๆจริงๆ บวกกับเป็นช่วง Covid-19 มาแรกๆ มันเป็นการ Remote work ครั้งแรก และหลายๆอย่างทำให้เราเครียด เราเลยคิดว่ามันถึงเวลาแล้วแหละที่ฉันต้องโยกย้าย เลยเริ่มหางานใหม่ 😂

แล้วพอกลับมาดูผลงานตัวเอง ปรากฏว่าสิ่งที่ได้ skill ของ UX/UI จริงๆน้อยมากๆ งานเราไม่มี Design system เพราะตอนนั้นเวลาจะทำหน้าใหม่ก็ copy/paste เอา บวกกับทำงานคนเดียว เลยไม่ได้คิดถึงตรงนี้เลย (เปิดงานเก่าๆดูแล้วอยากจะตีมือตัวเอง)

ตอนออกจากที่แรกเราลงทุน(ยืมเงินแม่ก่อน T_T) ไปเข้า workshop UX foundation , UI Essential เปิดโลกมาก อ๋อ มันเป็นแบบนี้นี่เอง แล้วก็ได้คุยกับพี่ๆ Mentor

ขอบคุณพี่แบงค์ Apirak ที่ช่วยแนะนำตอนที่เราสัมภาษณ์กับ start up ที่นึงแล้วเขาให้ test มาทำ ในระยะเวลาสั้นๆ เราสามารถทำอะไรได้บ้างที่จะหา user มาสัมภาษณ์เพื่อไปนำผลไปทำ test
- แต่ไม่ผ่านนะ เข้าไปถึง state สุดท้ายแล้ว ที่นี่ดีมาก ไม่กล้าเอ่ยชื่อขอใบ้ว่า เป็น start up ที่ทำแอปพลิเคชันเกี่ยวกับ การรอรถเมล์ เขาส่งเมลมาปฏิเสธเรา และแนะนำว่าเราขาด skill อะไร ให้ไปศึกษาเพิ่มเติมที่ไหน แนะนำลิงค์เว็บไซต์ท่ีควรไปติดตาม ทำให้เรารู้จักบุคคุลที่ชื่อ Jared spool รู้จักเว็บไซต์ https://www.interaction-design.org/ และอีกมากมาย

ขอบคุณพี่ป๋อม Sutham Pom Thammawong ที่ให้คำแนะนำตอนที่เข้าไปทำงาน start up คนเดียวใน role : cheif experience designer ต้อง design เองว่าองค์กรจะทำงานยังไง หา tool มาเอง วางแผนเองทั้งหมดเอาไปเสนอกับ founder จนย้ายไปที่ที่สามเราก็ไม่ลืมทักไปขอบคุณพี่ป๋อม แต่พี่ป๋อมจำไม่ได้เพราะน่าจะมีหลายคนทักหา 5555 ขอบคุณพี่จริงๆนะคะพี่คือ idol เกี่ยวกับ team management และการเป็น mentor ของหนู

ตอนอยู่ที่ๆสอง เราอยู่ได้ประมาณสิบเดือน เราก็เริ่มหางานใหม่อีก เหตุผลเหมือนเดิมเลย รู้สึกหมดไฟ เริ่มร่อน resume/portfolio ไปสัมภาษณ์ประมาณ 4 ที่ ได้ 2 ที่ ตอนแรกเราตอบรับที่แรกแล้ว แต่คงเพราะโชคชะตาดลใจแน่ๆ
(จริงๆต้องขอบคุณพี่ที่ทำงานที่แรกที่มากระซิบกับเราว่าจะเข้าไปทำงานที่นี่เหมือนกัน แหะๆ) ทำให้เราเทใจไปที่ที่สอง

การมาทำงานที่องค์กรใหญ่ครั้งแรก

ตอนสัมภาษณ์รอบสุดท้าย พี่ที่คุยด้วยเขาบอกว่า จริงๆเราแค่พื้นฐานยังไม่ดี ไม่เป็นไรถ้ามาอยู่ที่นี่ หัวหน้าคอย support มีทีมอย่างที่หวังแน่ๆ

การทำงานแบบที่มีทีม UX/UI Designer

ตื่นเต้นมาก การมีทีมครั้งแรกมันเป็นยังไง ทำงานมาจะสี่ปีแล้วไม่เคยมีทีมเลย 5555 ที่นี่เราประทับใจหลายๆอย่าง แล้วก็ตื่นเต้นในเวลาเดียวกัน เพราะทุกคนในทีมเก่งกันมาก ขยันมากจริงๆ น้องจบใหม่ไฟแรงสุดๆ (ขอบคุณที่ตัวเองที่ตัดสินใจมาอยู่ที่นี่ ขอบคุณทุกๆคนในทีมด้วยที่เป็นแรงผลักดัน) เรื่องสวัสดิการ คือสบายมาก ไม่ต้องกังวลอะไรเลย เป็นที่ทำงานที่แรกที่ทำให้เรารู้สึกว่าอยากตื่นไปทำงาน ไม่เคยมีวันไหนที่ไม่อยากตื่นมาทำงานเลย (ยกเว้นง่วง)

เราได้รู้ว่า UX Research มีอะไรบ้าง หัวหน้า support สุดๆ ให้คำแนะนำ ทฤษฎีต่างๆ รวมถึงแนะนำ list หนังสือที่ UX ควรจะอ่านให้ ตอนเข้ามาทำงานห้าวันแรก
เราติดโควิด สรุปกว่าจะได้ทำงานจริงๆ ก็ผ่านเดือนแรกของการทำงานที่นี่ไปแล้ว และตอนนั้นก็ไปเจอคลาสเกี่ยวกับ Usability test ของ UX Association

ตอนนี้เขากำลังจะมีคลาส Interaction design วันที่ 4,5,11 มิ.ย.
เดี๋ยวเราจะมาเขียนรีวิวหลังจบคลาส 🤓
* ตรงนี้ขอแอบขอบคุณพี่เบิร์ธ Borpit Techawattananant เป็นพี่ในคณะเดียวกันแต่คนละภาควิชา พี่เบิร์ธจบมีเดียอาร์ตมา แต่ก็ทำ UX เหมือนกัน ได้รู้จักกันตอนไปทำงานพิเศษ พี่เบิร์ธก็เป็น mentor คนแรกของเรา ที่อาสามาสอนให้เข้าใจ UX/UI ตอนเราทำงานที่แรก ชวนเราไปเข้าคลาสนี้ รวมถึงเวลาทักไปขอคำแนะนำหรือปรึกษาอะไรพี่เบิร์ธก็ให้คำปรึกษาที่ดีตลอด หวังว่าสักวันจะได้ทำงานร่วมกันนะพี่ ขอบคุณนะคะ 🫶🏻

(ต่อ) จังหวะพอดีกับ project นึงที่เราได้รับ ต้องมีการทำ UX research ตั้งแต่เริ่มคุย requirement , ศึกษาเกี่ยวกับสิ่งที่ต้องนำมา design , ทำ survey , interview และทดสอบการใช้งาน เราเลยได้นำสิ่งที่เราเข้าไปเรียนที่คลาสนี้มาใช้ และคิดว่ามันเป็นโอกาสที่ดีจริงๆ เพราะคลาสก่อนๆที่เรียน เราได้นำไปใช้ในที่ทำงานก็จริง แต่ไม่มี senior มาคอยแนะนำเราเลยไม่รู้ว่าสิ่งที่เราทำมันถูกต้องจริงไหม แต่พอมาอยู่ที่นี่ อย่างน้อยก็มีทีม เพื่อนร่วมงาน หัวหน้าที่คอยช่วยเหลือกันอยู่ตลอด ขอบคุณอีกครั้งค่ะ (ขอบคุณสิบล้านรอบ🤣)

จนถึงตอนนี้เรารู้สึกสนุกกับการทำงานมากกว่าปีไหนๆที่ผ่านมา เพราะมีสิ่งที่ได้เรียนรู้ และทำให้เรากระหายอยากจะเรียนรู้อยู่ตลอด ถึงเข้าใจเลยคำที่บอกว่า

ถ้าเราอยากเป็นคนแบบไหนให้เราเอาตัวเองไปอยู่กับคนแบบนั้นเยอะๆ

อีกประมาณ 2 เดือนเราก็จะทำงานครบ 5 ปีแล้ว แต่ถ้าให้พูดตามตรง เรายังรู้สึกว่า Skill UX/UI ของเราเหมือนถนนกรุงเทพฯที่ทำลวกๆ แต่กำลังจะมีผู้ว่าคนใหม่ มาช่วยปรับปรุงให้มันดีขึ้น 5555555555 🤩

พอมาถึงตอนนี้ เราว่าสิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนเลยคือความชอบของเรา เราอยากเป็นนักเขียนยังไงเราก็ยังอยากเป็นนักเขียนอยู่อย่างนั้น จนได้มารู้จักกับ UX Writer
เราเพิ่งฟังพอดแคสต์ที่มีพี่ที่เป็น UX writer มาเล่าประสบการณ์และคำแนะนำต่างๆให้ฟัง เราเลยคิดว่ายังไงเป้าหมายของเรามันชัดแล้วแหละ และถ้ายิ่งเราได้ทำสิ่งที่เราชอบ เราต้องทำได้ดีแน่นอน มันอาจจะยังไม่ถึงเวลาเพราะจากที่พี่เขาบอก การเป็นนักเขียนมันไม่มีทางลัด มันต้องใช้การฝึกฝนเป็นปีๆ เราต้องอ่านเยอะๆ รวมถึงเรื่องภาษาก็เหมือนกันเรายังต้องฝึกฝนอีกเยอะเลย (เดี๋ยวจะสรุปตอนท้ายว่าอะไรเป็นสิ่งจำเป็นในการวัยทำงาน จากประสบการณ์ของเรา)

และความสนใจอีกอย่างที่ชอบของเราคือจิตวิทยา จนเราก็ได้มาค้นพบอีกว่า UX จริงๆก็มีเกี่ยวกับจิตวิทยา คือ UX มันเป็นสิ่งที่เชื่อมโยงหลายๆอย่างมาก เราเลยรู้สึกขอบคุณตัวเองวันนั้นที่เลือกทำสิ่งที่ตัวเองชอบ จนได้สมัครงานตำแหน่ง Graphic designer แต่มารู้จัก UX/UI ได้ พอถึงตอนนี้ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองกำลังจะเป็น senior แต่ตื่นเต้นที่เหมือนตัวเองเป็น junior ที่ปูพื้นฐานความรู้ต่างๆของ UX/UI ใหม่ให้มันดีขึ้น รวมถึงเรื่องการทำงานร่วมกับ role อื่นๆ ก็เหมือนกัน เรายังอยากทำให้ทุกๆคนที่ทำงานร่วมกับ designer ทำงานง่าย และดีใจที่เริ่มมีคนคิดเหมือนกัน (ถ้าคนในทีมเข้ามาอ่านก็อยากจะบอกว่า ขอบคุณนะคะ)

เดี๋ยวบทความหน้าจะเขียนสรุปสิ่งที่ได้จากการฟัง podcast นี้

ขออนุญาตยืมประโยคนี้จากคุณ Parima Spd อ่านแล้วเห็นด้วยมากๆเลยค่ะ

เวลาเราชอบอะไร มี Passion อะไร เราควรมี Idol ในด้านนั้นเป็นของตัวเอง

Idol : ตอนนี้ในใจเรามีอยู่ 2 คน เป็นพี่ Mentor ที่เด็กจบใหม่หรือเปลี่ยนสายงานน่าจะรู้จักกัน กับพี่แพร์ UX writer 🥺

ตอนนี้ถ้าในแง่ของ Career path เรายังไม่ค่อยมั่นใจว่าตัวเองจะไปจบที่ตรงไหน ในหัวแวบแรกอยากเป็นคนที่ช่วย manage ทีมแต่ก็ยังไม่ชัวร์อยู่ดี เพราะยังคิดว่าประสบการณ์ 5 ปีคงยังไม่พอ ไม่ใช่แค่เรื่อง expertise แต่เป็นเรื่องของบุคคลด้วย
ถ้าเป้าหมายระยะสั้นก็คงอยากจะพัฒนา skill ตัวเองให้เป็น senior level ให้ได้ สามารถ mentor คนอื่นได้ ช่วยให้ทีมทำงานได้ง่ายขึ้น

เด็กๆเคยคิดว่าคนที่อายุ 25 ปีเขาดูโตจัง แต่ตอนนี้จะ 27 ปีแล้วยังรู้สึกว่าตัวเองยังเด็กอยู่เลย มีอะไรให้เรียนรู้อีกหลายอย่าง ขอเป็นกำลังใจให้ผู้อ่านทุกคนที่ผ่านมา ถ้าใครเพิ่งเริ่มทำงานปีแรกๆ เก็บเกี่ยวไว้เยอะๆ เพราะยังมีไฟ พอมาถึงตอนนี้เรารู้สึกว่าการทำงาน multiple task สมัยนั้น มันก็ให้ข้อดีอะไรกับเราเหมือนกัน

สิ่งที่จำเป็นในวัยทำงาน

  • ภาษาอังกฤษ : เป็นใบเบิกทางให้เราได้มีโอกาสมากขึ้น T_T (เรายังต้องฝึกเรื่องการพูดและเขียนอีกเยอะเลย ถ้ามีโอกาสได้ใช้ก็ใช้ภาษาอังกฤษบ่อยๆนะ)
  • อย่าหยุดเรียนรู้
  • ถ้าเรียนหรืออ่านอะไรมา ให้นำไปใช้กับงานจริงๆ มันจะทำให้เราเข้าใจและเห็นผลลัพธ์มากกว่า จะได้รู้ด้วยว่าวิธีแบบไหนที่มัน work สำหรับเรา รวมถึงการแชร์ให้คนอื่นๆรู้ ถ้าไม่มีทีม อาจจะลองหา community ที่เป็นคนทำงานสายเดียวกับเรา แล้วพูดคุยปรึกษาในนั้นก็ได้ จะได้พัฒนาทั้งตัวเราเองแล้วก็คนอื่น
  • การวางแผน / จัดการเรื่องการใช้เงิน
  • การตั้งเป้าหมาย : แค่ระยะสั้นก็ได้ ไม่งั้นเราจะกลายเป็นคนเรื่อยเปื่อยแล้วทำให้เราหมดไฟ
  • การทบทวนตัวเอง (อันนี้แล้วแต่คนนะ แต่เราชอบตอนที่ตัวเองรู้ว่ากำลังทำอะไร ใจเต้นกับเรื่องไหนอยู่ มันเป็นแรงบันดาลใจให้เราอยากพัฒนาตัวเองไปข้างหน้าเรื่อยๆ)
  • อย่าเป็น Yes man : ให้คิดว่าจริงๆแล้วเราจำเป็นต้อง say yes ทันทีเลยไหม เรายินดีที่จะทำ หรือจริงๆแล้วเราแค่ยอมทำให้มันจบไป
  • Connection : จริงๆแล้วเราเป็น introvert แต่ไม่ได้ถึงกับไม่ออกไปเจอผู้คน แค่มีกำแพงกั้นเวลาต้องรู้จักคนใหม่ๆ ไม่ได้เป็นคนไม่พูด แต่พูดไม่ทันเพื่อน 555555
    เราว่าจริงๆการที่เรามีโอกาสในเรื่องต่างๆส่วนใหญ่มาจาก connection รวมถึงการที่มีคนรอบข้างคอยช่วย support ก็เหมือนกัน แล้วดีตรงที่เขาทำงานสายเดียวกับเรา เลยได้พูดคุยแลกเปลี่ยนเกี่ยวกับ UX เพราะ UX/UI designer แต่ละที่ก็ไม่ได้เหมือนกันเนอะ รวมถึง UX/UI designer จริงๆแล้วอาจจะไม่ได้จบตรงสายมาก็ได้

ทุกคนพยายามด้วยกันทั้งนั้น สู้เขานะ! 💖

ตอนนี้คิดได้เท่านี้ รวมถึงยังมีคนที่ต้องขอบคุณได้เรื่อยๆเลย
connection สำคัญจริงๆนะ! ถ้านึกออกจะมา edit เพิ่ม
ขอบคุณที่สละเวลาอ่าน และหวังว่าจะมีประโยชน์หรือให้ความบันเทิง (?)
ถ้าใครอยากแนะนำอะไรสามารถคอมเม้นได้เลยนะคะ แลกเปลี่ยนกัน 😁

--

--